เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๙ ก.ค. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

แต่เดิมมา เห็นไหม เราว่าคนเกิดมา เวลาคนเกิดมา ดูสิ เวลาว่าคนยังไม่เกิด จิตไม่มีเว้นวรรคไง จิตมันเกิดตลอดเวลา แต่เกิดเป็นอะไร เกิดเป็นโอปปาติกะ การเกิดเป็นโอปปาติกะนี่เกิดเลย เป็นผู้ใหญ่เลย ไม่ต้องเป็นเด็ก เห็นไหม เกิดเป็นโอปปาติกะ เกิดในน้ำครำ เกิดในครรภ์ เกิดในไข่ นี่การเกิดของสัตว์โลก นี่การเกิด

แล้วเราเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์นี่ต้องมีที่อาศัย ปัจจัยเครื่องอาศัย เห็นไหม นกต้องมีรวงมีรัง เราก็เริ่มสร้างแต่รวงแต่รังมาก่อน พอเราขยายตัวขึ้นมาเราก็สร้างกรง กรงก็ใหญ่ขึ้นเพราะมีหมู่คณะ ต่อไปเราจะสร้างสวนนก สวนนกก็ใหญ่ขึ้นไปอีก นี่อยู่ที่ผู้ชักนำ เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูด “หัวหน้าสำคัญ หัวหน้าสำคัญ” ถ้าหัวหน้าสำคัญ เห็นไหม พาฝูงโคออกจากวังน้ำวนเลย วังน้ำวนนะ ถ้าหัวหน้าไม่ฉลาดพาฝูงโคไปจมวังน้ำวน พาฝูงโคนะ

เราเกิดมา ดูสิ เกิดมาเป็นเด็กที่ดี ไปคบเพื่อน เพื่อนพาไปทางที่ผิด เห็นไหม ถ้าเราเกิดมาคบเพื่อนที่ดี คบมิตรที่ดี มิตรพาไปหาสิ่งดี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดในพระไตรปิฎก “มิตรดีที่สุดคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ถ้าใครได้คบใครได้ศรัทธาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่พาทางต่ำแน่นอนเลย จะพาไปทางสูงตลอดเวลา ทางสูงสูงที่ไหน เราก็มองสูงขึ้นมา สูงเราก็มองกันแต่ว่าทรัพย์สมบัติ เราจะประสบความสำเร็จทางโลก

ไม่ใช่หรอก ทางโลกนะ อำนาจ สิ่งที่มีอำนาจวาสนา นี่เข้าไปกอดกองไฟ เพราะอะไร? เพราะเข้าไปแล้วมันต้องบริหารจัดการ ดูสิ เวลาคนเรามีเงินนะ สมมุติเรามีเงินสัก ๑๐๐ ล้าน ๑,๐๐๐ ล้าน ถ้าเราทำประโยชน์ขึ้นมาไม่ได้ เขาจะว่าคนนั้นไม่มีปัญญา ไม่สามารถบริหารจัดการได้ เห็นไหม มีขนาดนี้ต้องกี่เปอร์เซ็นต์ ต้องสูงกี่เปอร์เซ็นต์ มันเป็นความเผานะ เผาเพราะอะไร? เพราะเราไปติดกับมัน

แต่ถ้าเราได้ขึ้นมาของเรานี่ ได้มา ได้มาไม่ใช่ว่าได้มาแล้วจะปฏิเสธนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ในธรรมนะ “ครอบครัวที่จะเจริญรุ่งเรืองต้องมัธยัสถ์ ต้องเก็บ ต้องถนอมรักษา ต้องรู้จักซ่อมบำรุง” ถ้าใครซ่อมบำรุงไม่เป็นนะ ครอบครัวนั้นจะไม่เจริญรุ่งเรือง เห็นไหม ไม่ใช่ให้นิ่งดูดายนะ เพียงแต่ว่ากิเลสมันไปยึดมันต่างหากล่ะ เวลากิเลสไปยึด มันมีทุกข์ตรงนั้นนะที่ว่าต้องกี่เปอร์เซ็นต์ ๆ เพราะกิเลสไปยึดมัน เราก็ทำตามแต่อำนาจวาสนา ดูสิ ดูอย่างเศรษฐกิจ มันยังมีขาขึ้นขาลงเลย เวลามันหมุนไปตามสภาพของเขา แล้วเราจะขึ้นตลอดไปไม่มีลงเลย กิเลสมันเป็นอย่างนั้นนะ มีขึ้นตลอดไป ไม่มีลงเลย แล้วมันก็จะมีความทุกข์มาให้เราสิ สิ่งที่กระทำอย่างนี้เป็นเรื่องของโลก

แต่ความสุขในศาสนาที่ว่าพามีความสุข ๆ มันสุขเกิดจากใจ เห็นไหม เกิดจากใจนะ มั่งมีศรีสุขเป็นคนดี ดูสิ เวลาสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นกษัตริย์ก็มี กุฎุมพีก็มี ทุกข์จนเข็ญใจก็มี เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน เสมอภาคเหมือนกัน ความสุขอันนี้มันมีความสุขขึ้นมา เรามีความสุขขึ้นมาคือเรายับยั้งชั่งใจของเราได้ หน้าที่การงานก็ทำไป เราต้องทำหน้าที่การงาน แม้แต่พระยังต้องออกบิณฑบาตเลย เวลาออกมาฉันอาหารน่ะ ต้องฉันต้องอะไรเพื่อรักษาชีวิตไว้ เพื่ออะไร? เพื่อจะทำคุณงามความดีไง

เราสร้างรวงสร้างรังขึ้นมาก็เพื่ออาศัยชีวิตนี้ แล้วชีวิตนี้ได้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมานะ เราจะสร้างบุญขนาดไหนแล้วแต่ ถ้าเราไม่ได้ประพฤติปฏิบัตินะ ไม่มีปัญญาขึ้นมา ชำระกิเลสไม่ได้หรอก ถ้าชำระกิเลสไม่ได้ บุญมากขนาดไหน เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม นี่อายุยืนยาวนะ ไปเกิดเป็นพรหมนี่อายุยืนยาวมหาศาลเลย แล้วก็ไปเสวยสุขอย่างนั้น สุขนะ สุข ดูอามิสสิ มันเปรียบอย่างนี้ เปรียบเหมือนเวลาเราหิวกับเราอิ่ม ถ้าเราอิ่มเราก็มีความพอใจใช่ไหม เวลาเราหิว เราทุกข์ยากไหม?

นี่ก็เหมือนกัน เวลาไปเกิดเป็นเทวดาก็เหมือนกับอิ่มอยู่ตลอดเวลา เพราะมันเป็นอาหารทิพย์ไง มันทิพย์มันก็อิ่มตลอดเวลา มันมีความสุขอย่างนั้น มันเลยติดสุข เลยไม่สนใจทางอื่น แต่! แต่มันมีกิเลสนะ กิเลสคือความต้องการความทะยานอยาก มันก็ยังกระทบกระเทือนกัน สิ่งกระทบกระเทือน เทวดาก็กระทบกระเทือน พรหมก็กระทบกระเทือนกัน กระทบกระเทือนในหมู่ของเขานั่นแหละ เพราะอะไร? เพราะเกิดในสถานะเดียวกัน

ดูมนุษย์นะ สถานะเท่ากัน มันก็เบียดเบียนกัน แต่ถ้ามนุษย์ที่ต่ำกว่า มนุษย์ที่ด้อยกว่า เขาจะไม่ยุ่งกับเราหรอก เพราะอะไร? เพราะเขาไม่มีโอกาสโต้แย้งเรา ดูสัตว์สิ สัตว์เราบังคับมันใช้งานได้เลย เวลากินอิ่ม เห็นไหม มันจะสภาวะแบบนั้น เวลาหิวล่ะ เวลาหิวเวลาทุกข์เวลายากนี่ สิ่งสภาวะที่วัฏฏะมันเป็นแค่นี้ มันเป็นอามิสไง อามิสเวลามันอิ่มหนำสำราญมันก็มีเท่านี้ มันเป็นอนิจจัง เพียงแต่เราไปเจอสิ่งที่ใหม่ ๆ

ดูสิ เราบอกเลย คนเขามีความสุขกันด้วยการดื่มสุรา ไปดูโรงงานสุราสิ โรงงานน่ะขนาดไหน แล้วเวลาผู้ที่หัวใจสูงขึ้นมา รัฐบาลทุกรัฐบาล เวลาเห็นเรื่องงบประมาณการบำรุงรักษา การซ่อมแซมไอ้พวกเจ็บไข้ได้ป่วย จะบอกว่างบประมาณนี้มากมหาศาลเลย จะพยายามประชาสัมพันธ์ไม่ให้ประชากรนี้ดื่มมาก ให้ประชากรนี้รักษาสุขภาพ ถ้ารักษาสุขภาพ งบประมาณมันก็ไม่เสียหายมากนะ เวลาไปบริหารจัดการมันจะเห็นอย่างนั้น

แต่เวลาของเรา เราทำไมไม่คิดควบคุมชีวิตเราเองล่ะ ชีวิตของเราเอง ทำไมเราไปเสเพลอย่างนั้น เราไปเอาสารพิษ เอาต่าง ๆ มาทำร้ายร่างกายเราทำไม ว่าเป็นการสังคม ๆ สังคมกับใคร? สังคม ๆ กับคนที่คิดอย่างนั้น เราจะคิดอย่างไร? เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สังคมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สังคมนี่ ดูสิ สิ่งสภาวะแบบนั้นมันเป็นเรื่องของโลก ๆ โลกเป็นอย่างนั้น

โลกเป็นหมู่สัตว์ เราก็เกิดในสังคมโลก แต่เกิดมาแล้วมันคลุกเคล้าอย่างไร ดูแหล่งน้ำนะ ดูสิ ประสาแหล่งน้ำ แม่น้ำนี่ เดี๋ยวก็เน่าเสีย เดี๋ยวก็ต้องบำบัดน้ำเสีย เราต้องทำให้มันฟื้นฟูขึ้นมา เพื่อให้ดำรงชีวิตไป แต่ถึงคราวหนึ่งมันก็เป็นสภาวะแบบนั้น แต่ถ้าน้ำมันปกติของมันอยู่อย่างนั้น มันเป็นประโยชน์กับสภาวะแบบนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตเราเกิดมานี่บริสุทธิ์นะ เกิดมาเป็นเด็กนี่บริสุทธิ์มาก ไร้เดียงสามากเลย แล้วเราจะเชิดชูกันอย่างไร เราจะชักจูงกันอย่างไร ให้เด็กมันประสบความสำเร็จในชีวิตของเขา ประสบความสำเร็จในชีวิตของเขานะ พ่อแม่นี่มีความสุขมาก ถ้าลูก ๆ มีจุดยืนของเขา เขาประสบความสำเร็จในชีวิตคือเขาอยู่กับโลกเขาได้ แต่ถ้าถามลูกว่าทุกข์หรือสุขล่ะ เห็นไหม ถ้าลูกมีความสุขในหัวใจขึ้นมาอีก พ่อแม่ยิ่งมีความสุขใหญ่เลย นี่ขนาดว่าความสุขของสิ่งที่เรารักนะ

แล้วเรารักนี่ เรารักแต่ข้างนอก แล้วไม่รักตัวเองเหรอ? ไม่รักตัวเราเองเหรอ? ไม่รักหัวใจของเราเหรอ? ถ้ารักหัวใจของเรา ดูสิ ในสมัยพุทธกาล ภิกษุณีตั้งครรภ์มาตั้งแต่ก่อนบวช บวชแล้วไปคลอด แล้วพระเจ้าปเสนทิโกศลขอเด็กนั่นไปเลี้ยงไง พอขอเด็กนั่นไปเลี้ยง แม่คิดถึงตลอดเวลานะ คิดถึงลูกมาก เป็นภิกษุณีแล้วคิดวิตกกังวล พอเด็กนั้นโตขึ้นมาถามว่าแม่เป็นใคร สลดใจมากออกบวช ออกบวชเป็นเณรอยู่...สำเร็จเป็นพระอรหันต์นะ มาเจอแม่ ไปบิณฑบาตสวนทางกัน แม่นี่คิดถึงมาก คิดถึงลูกมาก คิดถึงจนภาวนาไม่ได้ มันเป็นนิวรณธรรม พอเห็นหน้าลูกนี่ถลาเข้าไปเลยนะ ขณะบิณฑบาตอยู่ จะไปทักลูกไง ลูกเป็นพระอรหันต์นะ

“ถ้าเราโอ้โลมปฏิโลมกับแม่ แม่ก็จะติดพันอยู่อย่างนี้ เราจะจรรโลงแม่ เราจะทะนุถนอมแม่ ให้แม่ได้คุณประโยชน์นะ”

เวลาแม่เข้ามานี่ลูกเอ็ดเลยนะ “บวชแล้วมาคิดอะไรเป็นลูก ๆ เป็นแม่เป็นลูกอะไรกัน ต่างคนนะ ต่างคนต่างเป็นศากยบุตรด้วยกัน ลูกแม่ที่ไหน ลูกแม่ที่ไหน”

ลูกพูดด้วยปัญญานะ ด้วยปัญญาของพระอรหันต์ เพื่อจะถนอมให้แม่ย้อนกลับมาภาวนาไง แม่เสียใจมาก โอ้โฮ... คิดถึงนะ ผูกพันมาก คิดถึงลูกขนาดนี้ เจอกันควรจะทักที่ดีหน่อย ทำไมมาดุอย่างนี้ ตัดใจเลยนะ ด้วยความตัดใจว่าเราจะไม่คิดถึงอีกแล้ว เราจะไม่ยุ่งอีกแล้ว นี่กลับไปภาวนา กลับภาวนานี่ ลูกก็เป็นพระอรหันต์ แม่ก็เป็นพระอรหันต์ นี่ความสุขใจมันเป็นอย่างนี้ไง

แต่ถ้าเราไปโอ้โลมปฏิโลมกันอยู่ มันก็ยังเป็นเด็กอ่อนอยู่อย่างนั้น นี่เรื่องของโลก ถ้าเราจรรโลงรักษาลูกเรา เรารักลูกเรา เราดูแลลูกเรา แต่ว่าโลกนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ใช่! ถูกต้อง แต่ทำไมเราต้องเอ็ดลูกเราบ้างล่ะ เราถึงไปบังคับให้ลูกเรามีการศึกษาล่ะ เพราะอะไร? เพราะบังคับต้องให้เขาเจริญขึ้นมา นี่เป็นเรื่องโลก ๆ นะ แต่เป็นในเรื่องของใจ ใจย้อนกลับมาจากภายใน

ย้อนกลับมาจากภายในเพราะอะไร? เพราะสิ่งนี้เป็นกระแส เป็นพลังงานนะ พลังงานนี่มันเผาเราก่อน เห็นไหม เบียดเบียนตนแล้วเบียดเบียนผู้อื่น ถ้าตัวเองคิดเบียดเบียนตนเองก่อน คิดแต่จุดยืน คิดแต่จะหาทางเอาผลประโยชน์ คิดแต่อย่างนั้น สิ่งนี้มันเผาเราไหม? มันเผาเราเองก่อน แล้วก็เผาคนอื่น ความคิดเป็นอย่างนี้ แล้วถ้าย้อนกลับมาทำลายตรงนี้ แล้วความสุขมันจะเกิดขึ้นมาไหม ความสุขเกิดขึ้นมาขณะที่จิตมันปล่อยวางแล้วชำระกิเลสขาดหมด สิ่งที่กิเลสขาดหมด มันจะหมุนไปไม่ได้ถ้าสติเราพร้อม

แต่ถ้ามันจะเสวยอารมณ์ เราปล่อยให้เสวยนะ เสวยอารมณ์เป็นสมมุตินี่ออกมาเพื่อบนโลก มันออกมา มันเพื่อเป็นประโยชน์ ถ้าสิ่งที่เป็นทุกข์มันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เพราะอะไร? มันเป็นอกุศล มันจะเกิดขึ้นมาไม่ได้หรอก เพราะอะไร? สติมันทันไง สติมันทัน ทีนี้มันก็เป็นประโยชน์สิ จากที่ว่าถ้าไม่มีความสุข สุขแล้วเวลาเคลื่อนออกมาเป็นประโยชน์ มันจะเป็นประโยชน์มาก

แต่ก่อนหน้านั้นมันออกไปโดยพลังขับของมัน พลังขับของมันเราไม่สามารถควบคุมมันได้เลย มันก็ว่าดีของมันสภาวะแบบนั้น แล้วดีประสาโลกนะ เพราะอะไร? มันเทียบเคียงไปกับโลก โลกประชาสัมพันธ์กันว่าสิ่งนั้นดี สิ่งนี้ดี นี่ทำความดีแล้วขาดประชาสัมพันธ์อย่างเดียว เขาไม่รู้จักการประชาสัมพันธ์ของเรา ประชาสัมพันธ์ขนาดไหนไม่มีใครรู้กับเราหรอก ชั่วก็คือความชั่วของเรา ดีก็คือความดีของเรา ใครจะไม่รู้กับเราเป็นปัจจัตตังจากหัวใจอันนี้

สิ่งนี้ความลับไม่มีในโลก คือเรานี่เป็นคนคิดก่อน เราเป็นคนรู้ก่อน แล้วคิดย้ำคิดย้ำทำขึ้นมา มันจะย้อนกลับมาเป็นจริตนิสัย จริตนิสัยก็ออกไป ไปออกที่จริตนิสัยมันก็เป็นอำนาจวาสนา วาสนาออกไป ทำดีทำชั่วมันก็ออกไปประสาโลกของเขา นี่เราย้อนกลับมา เราไปกันเพื่อประโยชน์ของศาสนา เพื่อประโยชน์ของโลก

แต่เราก็เพื่อไปประพฤติปฏิบัติเรา ถ้าเป็นตัวของเราคนเดียว ดูสิมีบริขาร ๘ ออกไปตามโคนไม้ นกมีรวงมีรังก็ยังมีกลดที่อาศัย มีกุฏิ มีที่พักพิง เห็นไหม เรือนว่าง ถ้าเรามีหมู่คณะขึ้นมาก็เป็นอาวาส เป็นอาวาสขึ้นมาก็เป็นกรงขึ้นมา ถ้าเป็นสวน สวนนกมันก็ใหญ่ขึ้นมา นี่เราทำกันมาเพื่อศาสนา เพื่ออนุชนรุ่นหลังนะ ดูสิ ดูพระกัสสปะ ถือธุดงควัตรตลอดเวลา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“กัสสปะเอย เธอก็อายุปานเรา เธอก็เป็นพระอรหันต์แล้วเธอถือธุดงควัตรเพื่ออะไร?” เป็นพระอรหันต์อยู่แล้วนี่

“ถือธุดงควัตรไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้เป็นคติ ได้เป็นตัวอย่าง”

พระไตรปิฎกก็เป็นพระไตรปิฎก อ่านพระไตรปิฎก แล้วธุดงควัตรถ้าไม่มีครูบาอาจารย์แนะนำหรือทำไม่เป็นนะ งงตายห่าเลย ถ้างงสภาวะแบบนั้นมันก็ประสามัน เพราะกิเลสมันมีในหัวใจ แต่ถ้ามีคติมีตัวอย่าง เห็นไหม ตำราก็เป็นตำรานะ อันนั้นเป็นอยู่ในพระไตรปิฎก แต่เวลาประพฤติปฏิบัติ ดึงออกจากตำรามาเป็นรูปธรรม ปฏิบัติมันจะทำได้ขนาดไหน นี่เป็นคติตัวอย่างแก่อนุชนรุ่นหลัง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราทำก็ไปอนุชนรุ่นหลัง มันก็เป็นบุญกุศล เป็นอำนาจวาสนา เป็นบารมีของเรา เพื่อประสบความสำเร็จในชีวิต ดูลูกเรานะ เราให้อาหารเด็ก เราให้ลูกหลานเรามันมีความสุข เราจะมีความชุ่มเย็นในหัวใจมาก นี่ก็เหมือนกัน เราให้กับสังคมนะ ครูบาอาจารย์ท่านบอก “ท่านพยายามจะรักษา” รักษาเพื่ออะไร? เพื่ออนุชน เพื่อลูกเพื่อหลาน เพื่อชาวไทยของเรา ที่เรารักษาได้เราก็รักษา อันนี้เราทำของเราเป็นขั้นเป็นตอนไป ทำได้ก็ทำเท่าที่ทำได้ ทำไม่ได้ก็ทำไม่ได้ มันอยู่ที่บุญและกรรม

คนที่มีบุญนะ ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ คนที่มีกรรมนะ ทำอะไรมันก็ผิดพลาด ๆ ตลอดไป เราก็ไปทำของเรา นี่เป็นสภาคะ สภาคะคือบุญบาปร่วมกัน เป็นหมู่คณะ เป็นสงฆ์ เป็นบริษัท ๔ เราช่วยกันจรรโลงศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากไว้

เวลาฝากศาสนาไว้ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา “มารเอย ตราบใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของเจ้าลัทธิต่าง ๆ ได้ เราจะไม่ปรินิพพาน” จนมาฆบูชา “บัดนี้! บัดนี้! ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วง สามารถจรรโลงศาสนาได้ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะปรินิพพาน”

นี่ฝากศาสนาไว้กับภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ถ้ามีข้อโต้แย้งในศาสนา เราโต้แย้งได้ พระพุทธเจ้าฝากไว้กับเรา ให้เรากล่าวแก้ ให้เราโต้แย้ง ไม่ใช่ว่าใครจะพูดอะไรก็นิ่งเฉย นิ่งเฉยอย่างนั้นนิ่งเฉยต่อเมื่อจะทำความชั่วต่างหากล่ะ อย่าไปทำกับมัน อย่าไปออกกับมัน แต่เวลาถ้ามีเป็นประโยชน์กับเรา เราจะปล่อยให้ลูกเราออกไปประสบอุบัติเหตุด้วยการนิ่งเฉยเหรอ? เวลาลูกของเราจะไปประสบอุบัติเหตุ เราก็ต้องโต้แย้ง ต้องชักต้องดึงไว้ ถ้ามันสุดวิสัยก็เรื่องของกรรม ถ้าไม่สุดวิสัย เราก็ต้องโต้แย้ง ต้องพยายามรักษา

นี่รักษาศาสนา เราจะทำกันเพื่อเรา เพื่อศาสนาของเรา ผู้ใดทำผู้นั้นเป็นบุญกุศลนะ นี่วัดวาอาวาส ศาสนาเรื่องศาลาโรงธรรมต่าง ๆ มันเป็นวัตถุ มันไปสวรรค์ไม่ได้ มันไปนรกไม่ได้ หัวใจที่สละออกไป ทรัพย์ของเรา ออกกำลังของเรา ออกสิ่งต่าง ๆ ที่เราจรรโลงไว้ในศาสนา หัวใจดวงนี้จะไปนรกจะไปสวรรค์ หัวใจเราผู้สละออก ผู้ทำนี้มันจะไปสวรรค์ วัตถุไปสวรรค์ไม่ได้ วัตถุแค่อาศัยชั่วคราว

แต่หัวใจมันไม่เคยตาย มันไม่เคยเว้นวรรค มันจะมีอย่างนี้ตลอดไป “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” เราทำจรรโลงศาสนาเพื่อเรา เพื่อสร้างอำนาจวาสนาของเรา เราทำเพื่อเรา เราทำเพื่อศาสนาก่อน แล้วผลตอบแทนมาหาเรา หาดวงใจดวงนี้ ดวงใจดวงนี้เป็นผู้เสียสละ ดวงใจดวงนี้เป็นผู้ทำ แล้วถ้าดวงใจดวงนี้เกิดปัญญาขึ้นมา ดวงใจดวงนี้ออกเป็นมรรคญาณขึ้นมาทำลายกิเลสในหัวใจ ดวงใจดวงนี้จะมีความสุขมาก เอวัง